เมื่อวันที่ 12 มกราคม รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะ ครั้งที่ 1/2559  เปิดเผยว่า ขณะนี้รูปแบบและรายละเอียดของการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีวิทยฐานะและเลื่อนเป็นวิทยฐานะ "ชำนาญการพิเศษและเชี่ยวชาญ" ตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance  Agreement) หรือ พีเอ แบ่งพีเอออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การปฏิบัติหน้าที่ปกติ ที่กำหนดให้ครูทุกคนจะต้องเขียนแผนการปฏิบัติการสอน จัดทำสื่อการสอน การดูแลเด็กไม่น้อยกว่ากี่ชั่วโมง เสนอให้ผู้อำนวยการโรงเรียน และ 2.การพัฒนาเข้าสู่วิทยฐานะ เบื้องต้นจะมีการจัดทำคู่มือประกอบว่าผู้ขอมีหรือขอเลื่อนวิทยฐานะในแต่ละระดับนั้นต้องมีแผนการพัฒนาเสนอที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่มี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาวันที่ 27 มกราคมนี้ ใช้ทันทีปีการศึกษา 2559
          อนึ่ง หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีวิทยฐานะและเลื่อนเป็นวิทยฐานะ "ชำนาญการพิเศษและเชี่ยวชาญ" ตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement) ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ก.ค.ศ. สมัย พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ เพื่อให้การขอเข้าสู่วิทยฐานะเป็นการประเมินโดยพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ของเด็กมากกว่าการทำผลงานวิชาการแบบที่ผ่านมา โดยกำหนดให้การประเมินจะต้องผ่าน 2 ขั้นตอน คือ การกลั่นกรองด้วยวิธีการสอบวัดความรู้ ตาม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ และดูผลงานทางวิชาการซึ่งจะวัดจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก ซึ่งในส่วนต่อมาในการประชุม ก.ค.ศ.ที่ พล.อ. ดาว์พงษ์   เป็นประธานได้พิจารณาแล้วเห็นว่าขั้นตอนการสอบนั้นอาจจะทำให้ครูที่มีความรู้ มีประสบการณ์ สอนเก่ง แต่ไม่ถนัดวิชาการสอบไม่ผ่าน จึงมีมติชะลอการสอบตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว และให้มีการศึกษาใหม่ยึดแนวทางลดภาระ และไม่ให้ครูออกจากห้องเรียน เพราะต้องเตรียมตัวสอบ--จบ--

          ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก