จ้างมหา’ลัย 12 เขตพื้นที่ออกข้อสอบครู ผช.สพฐ.สกัดปัญหารั่วซึมทุจริตสารพัดทาง

        ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ และวิธีการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไปสังกัดสพฐ.โดยการสอบ ภาค ก ให้ สพฐ.เป็นผู้บริหารจัดการแทนเขตพื้นที่ เพื่อให้ข้อสอบเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งเพิ่มการสอบภาษาอังกฤษ และให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ หรืออ.ก.ค.ศ. สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษเป็นผู้ดำเนินการสอบและเห็นชอบหลักเกณฑ์การสอบคัดเลือก ผอ./รอง ผอ.สถานศึกษาโดยให้ สพฐ.บริหารจัดการออกข้อสอบภาคก ส่วน ภาค ข ให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ออกโดยแบ่งผู้เข้าสอบคัดเลือกเป็นกลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์นั้น
          นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้มีการประชุมหารือกันว่าสพฐ.จะจ้างมหาวิทยาลัย ที่อยู่ในเขตพื้นที่ตรวจราชการทั้ง 12 เขตพื้นที่ เป็นผู้ออกข้อสอบเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้มหาวิทยาลัยที่ออกข้อสอบ จะต้องบริหารการสอบเองด้วยนั้นคือต้องเอาข้อสอบไปส่งเองพร้อมตรวจข้อสอบให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยจะให้สอบติดต่อกันทั้งภาค กข และ ค เพื่อไม่ให้ผู้สมัครสอบที่อยู่ห่างไกลต้องลำบากและเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเกินความจำเป็น อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ มีผู้เสนอว่าควรให้มหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นผู้ออกข้อสอบเพียงแห่งเดียว ซึ่งตนเห็นว่าจะมีปัญหาในเรื่องการนำส่งข้อสอบและหากเกิดกรณีข้อสอบรั่วที่ใดที่หนึ่ง ที่อื่นๆก็จะมีความกังวลว่าจะต้องถูกยกเลิกไปด้วยหรือไม่ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ก็ให้แก้ปัญหาเป็นรายเขตไป หากข้อสอบรั่วที่เดียวเขตอื่นก็ไม่น่าจะกระทบด้วย ทั้งนี้ก่อนออกข้อสอบจะต้องมีการประชุมเกณฑ์การออกข้อสอบความยากง่ายของข้อสอบ ที่เหมาะสมกับการสอบบรรจุเพื่อเป็นข้าราชการครู
          "ผมจะนำเรื่องเสนอ ปลัด ศธ. ขอให้ผู้ตรวจราชการ ศธ.ทั้ง 12 เขต เป็นประธานกำกับติดตามการสอบด้วย ซึ่งคาดว่าการกำหนดปฏิทินการสอบคัดเลือกจะออกภายใน 2 สัปดาห์นี้ และจะสอบทั้งครู,ผอ./รองผอ.สถานศึกษาในเวลาไล่เลี่ยกัน"เลขาธิการ กพฐ.กล่าวและว่า ส่วนการป้องกันทุจริตในเบื้องต้นจะต้องตรวจสอบตั้งแต่ขั้นตอนการรับสมัครว่าบุคคลที่มาสมัครมีรายชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ในการสอบครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมาหรือไม่--จบ--

          ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ