ศธ.รื้อใหญ่ ’1อำเภอ1ทุน’รุ่นที่ 5 ไม่ขึ้นตามจำนวนอำเภอ/เน้นเรียนดี-จน-เพิ่มสายอาชีพ-จบแล้วพัฒนาชาติ

เมื่อวันที่ 24 พ.ย.57 นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้หารือกับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ เกี่ยวกับการดำเนินการโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนรุ่นที่ 5 โดย รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้สำนักปลัด ศธ. ไปปรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้รับทุนใหม่ เน้นหลักการใน 3 ประเด็นคือ 1.เปิดโอกาสให้เด็กยากจนแต่เรียน ดี2.เน้นให้ทุนในสาขาขาดแคลนและเป็นความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะสายอาชีพ และ 3.เมื่อเรียนจบแล้วให้นำความรู้ที่ได้รับกลับมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติโดยตนจะเร่งจัดทำรายละเอียด เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย รวมถึงอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมา เพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. พิจารณาร่วมกันวันที่ 26 พ.ย.57 หากที่ประชุมเห็นชอบก็ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เห็นชอบในหลักการ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ใหม่ให้มีผลบังคับใช้ในรุ่นที่ 5 ต่อไป
          นางสุทธศรี กล่าวต่อว่า สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ ในรุ่นที่ 5 พล.ร.อ.ณรงค์ เห็นว่าอาจจะไม่จำเป็นต้อง ให้ทุนตามจำนวนอำเภอเพราะที่ผ่านมาพบ ว่าเด็กไม่สามารถสอบรับทุนได้ครบทุกอำเภอ หรือบางอำเภอมีเด็กเก่งมากกว่า1 คน แต่กลับเลือกได้เพียงคนเดียวทั้งที่ความจริงเด็กเก่งควรจะได้รับการส่งเสริมทำให้ต้องเปิดรับสมัครหลายรอบ สุดท้ายก็ไม่สามารถให้ทุนได้ไม่เต็มตามจำนวนที่ตั้งไว้ขณะเดียวกันการกำหนดให้เด็กไปเรียนในประเทศที่ไม่ ใช้ภาษาอังกฤษก็เป็นปัญหาเด็กต้องใช้เวลา เรียนภาษาในประเทศเจ้าของภาษาที่ไปเรียนเป็นเวลานาน หรือบางคนเรียนไม่ไหว ปรับตัวไม่ได้ก็ต้องกลับมาเรียนต่อที่ไทย ซึ่งประเด็นนี้ รมว.ศึกษาธิการ ขอให้ไปดูรายละเอียด ต่อไปอาจจะเปิดโอกาสให้เรียนในประเทศที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษหรือให้ทุนเรียนในไทยได้ด้วย ทั้งนี้ ยังเน้นให้ส่งเสริมเด็กให้มาเรียนในสายอาชีพมากขึ้น โดยจูงใจให้ทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับม.ปลาย ต่อเนื่องถึงระดับปริญญาตรี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการ1 อำเภอ 1 ทุน ได้ดำเนินการมาแล้ว 4 รุ่นโดยรุ่นที่ 1 เริ่มเมื่อปี 2547 มีผู้รับทุนจำนวน921 คน รุ่นที่ 2 ดำเนินการเมื่อปี 2549 มีผู้รับทุนจำนวน 915 คน รุ่นที่ 3 เริ่มดำเนินการปี 2555 มีผู้รับทุนจำนวน 689 คน และรุ่นที่ 4 เริ่มปี 2556-2557 มีผู้รับทุนจำนวน571 คน รวมมีผู้รับทุนทั้ง 4 รุ่น จำนวน3,096 คน--จบ--

          ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ