กระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 122 ปี
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 81/2557
กระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 122 ปี
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 122 ปี เมื่อวันอังคารที่ 1 เมษายน 2557
7.30 น. ตักบาตรพระสงฆ์ 59 รูป ที่สนามหน้ากระทรวงศึกษาธิการ
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และสมาชิกชมรมข้าราชการและครูอาวุโส ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 59 รูป พร้อมทั้งทำพิธีสักการะพระพุทธรูปประจำกระทรวง สักการะพระภูมิ และพิธีบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 122 ปี เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557
10.30 น. รมว.ศธ.เป็นประธานในพิธีมอบเข็ม “เสมาคุณูปการ” และประกาศเกียรติคุณบัตรแก่ผู้ทำประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ และ พิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2556 ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่หอประชุมคุรุสภา
ปลัด ศธ. กล่าวรายงานการจัดงานในวันนี้ว่า ศธ.เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนของประเทศชาติซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่า เพื่อให้มีความพร้อมทั้งด้านกำลังและด้านสติปัญญาในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง การจัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ศธ. ครบรอบ 122 ปี มีกำหนดจัดกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ ในช่วงเช้ามีพิธีทำบุญตักบาตร พิธีสักการะ พิธีบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ ศธ.ที่ล่วงลับไปแล้ว พิธีมอบเข็มที่ระลึกและประกาศเกียรติคุณบัตรแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ ศธ.ประจำปี 2557 จำนวน 83 ราย และพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2556 ของ ศธ. จำนวน 103 ราย ส่วนในช่วงบ่ายได้จัดให้มีเวทีเสวนาปฏิรูปการศึกษา ครั้งที่ 1 เรื่อง “ปฏิรูปการศึกษา อนาคตประเทศ” เพื่อเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา
รมว.ศธ. กล่าวว่า ในโลกยุคปัจจุบันที่มีทั้งความร่วมมือและการแข่งขันกันระหว่างประเทศ การพัฒนาคนจึงมีความสำคัญมาก การทำงานของทุกภาคส่วนใน ศธ.จะต้องมีร่วมมือ การสนับสนุน และการส่งเสริมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้การศึกษาของประเทศพัฒนาและก้าวหน้า การจัดกิจกรรมในวันนี้เพื่อจะย้ำถึงความสำคัญของการทำงานของ ศธ. และเป็นโอกาสมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการและผู้ที่ทำประโยชน์แก่ ศธ. เพื่อทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษามีกำลังใจ เห็นความสำคัญของ ศธ.และของตนเอง ในการปฏิรูปการศึกษาจะต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ศธ.จะมีบทบาทอย่างไรในสังคมยุคใหม่ เรื่องที่จะต้องช่วยกันคิด โดยเฉพาะผู้บริหารและผู้ที่เป็นกำลังสำคัญของ ศธ. คือ การผลักดันการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสำเร็จ เพราะการจัดการศึกษาของทั้งประเทศจะต้องอาศัยการสนับสนุน การส่งเสริม ที่สำคัญต้องทำให้เห็นปัญหาและมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริหาร บุคลากรในวงการศึกษาและผู้ที่ให้ความสนใจทั่วไปทั้งประเทศต้องช่วยกันดำเนินการอย่างจริงจังต่อไป
โอกาสนี้ ขอส่งความปรารถนาดีแก่ข้าราชการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนพนักงานราชการ และลูกจ้างของ ศธ. พร้อมทั้งขอแสดงความยินดีกับข้าราชการดีเด่น ประจำปี 2556 ในสังกัด และกล่าวขอบคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ ศธ. รวมทั้งผู้ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจที่ได้มุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยมาอย่างต่อเนื่อง ขอพลานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โปรดดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข มีความมั่นคง และความก้าวหน้าตลอดไป
15.30 น. รมว.ศธ. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปฏิรูปการศึกษา ภารกิจที่ท้าทาย” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 122 ปี ที่หอประชุมคุรุสภา
รมว.ศธ.กล่าวฝากประเด็นสำคัญด้านการศึกษาที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา และให้ชาว ศธ. ตระหนักถึงความสำคัญของหน้าที่ของตนเอง ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
● เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เนื่องจากโลกยุคปัจจุบันมีทั้งความร่วมมือและการแข่งขัน ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่เกิดวิกฤต นอกจากนี้องค์กรระดับนานาชาติยังได้มีการประเมินผลการจัดการศึกษาของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งก็พบว่าการจัดการศึกษาของไทยยังต้องปรับปรุงอีกมาก จึงเป็นที่มาของการประกาศยกระดับผลการประเมินระดับนานาชาติของไทยให้สูงขึ้น ประกอบกับตนได้ประกาศนโยบายข้อแรก คือ เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น
ศธ.เร่งดำเนินการปฏิรูปในหลายเรื่องเพื่อสนับสนุนให้ผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น บรรลุเป้าหมายที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การทดสอบวัดผล ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยแสดงผลการจัดการศึกษา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักสูตร เช่น การสอบ O-Net ในปีการศึกษาล่าสุด ที่มีผลคะแนนในหลายวิชาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย คือ 50% ยกเว้นวิชาสุขศึกษา โดยเฉพาะชั้น ม.6 มีคะแนนวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ประมาณกว่า 20% เท่านั้น และพบว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าโรงเรียนขนาดกลางๆ และโรงเรียนขนาดใหญ่มีคะแนนต่ำกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษด้วย แม้ทุกฝ่ายจะบอกว่าดำเนินการสอดคล้องและเชื่อมโยงกับหลักสูตรแล้ว แต่ผลที่ออกมาเชื่อว่าฝ่ายจัดการศึกษากับฝ่ายวัดผลยังไม่มีความเข้าใจตรงกันในทางปฏิบัติ จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับสถาบันการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ในการเชิญองค์กรและผู้เชี่ยวชาญด้านวัดผลและหลักสูตร มาร่วมเสวนาในประเด็นการพัฒนาการวัดผลที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกับหลักสูตรต่อไป
การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ผลสแกนการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ในสังกัด สพฐ.ทั่วประเทศ กว่า 8 แสนคน พบว่า มีนักเรียนชั้น ป.3 ที่อ่านไม่ได้ 27,000 คน และอ่านได้อยู่ในระดับควรปรับปรุง 23,700 คน ส่วนนักเรียนชั้น ป.6 ที่อ่านไม่ได้ 7,880 คน และอ่านได้แต่อยู่ในระดับควรปรับปรุง 6,750 คน ซึ่งวิชาภาษาไทยมีความสำคัญที่สุด เพราะหากอ่านไม่ออกก็จะเรียนวิชาอื่นไม่รู้เรื่อง จึงได้ประกาศนโยบาย "นักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ต้องไม่มี" และได้ดำเนินการปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาไทยหลายรูปแบบ เช่น จัดเรียนแบบติวเข้ม เพิ่มชั่วโมงสอน แยกเด็กอ่อนเรียนต่างหาก โดยเรียนเฉพาะวิชาภาษาไทยในครึ่งวันเช้า หรือบางโรงเรียนเรียนทั้งวัน
ประเด็นปัญหาในส่วนนี้ น่าจะเกิดจากการสอนให้เด็กจำเป็นคำๆ ไม่มีการสอนสะกดคำ ทำให้เมื่อเจอคำใหม่เด็กอ่านไม่ออก เพราะสะกดไม่ได้ ซึ่งก็จะต้องมาพิจารณาในเรื่องของหลักสูตรว่า ยังจำเป็นจะต้องเรียนทั้ง 8 กลุ่มสาระวิชาหรือไม่ หรือเรียน 6 กลุ่มสาระวิชาในหลักสูตรใหม่ วิธีการเรียนการสอนควรเป็นอย่างไร ความรู้ด้านภาษาไทยต้องสอนอะไร และทดสอบกันอย่างไร เพราะการสอนภาษาของประเทศต่างๆ จะมีการวัดระดับการใช้ภาษา “Proficiency Test” ที่เป็นการทดสอบระดับการใช้ภาษาแม่ที่ควรรู้ ไวยากรณ์และความสามารถทางใช้ภาษาในการสื่อสารและหาความรู้ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ขณะนี้ในสถาบันอุดมศึกษามีการวัดระดับการใช้ภาษาไทยของชาวต่างชาติ คาดว่าในอนาคตจะมีระบบ Proficiency Test สำหรับคนไทยที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่
● การจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ
1) ภาษาอังกฤษ ควรมีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนใหม่ เพราะวิธีการสอนแบบเดิมไม่สามารถสอนให้นักเรียนสื่อสารได้ กระบวนการเรียนภาษาอังกฤษต้องเน้นการเรียนเพื่อสื่อสาร เริ่มจากการฟังและพูดให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสอนอ่านและเขียน โดยจัดกระบวนการเรียนแบบเข้ม หรืออาจจะเพิ่มชั่วโมงเรียน สิ่งสำคัญคือมีการสนทนา ที่จะต้องจัดห้องเรียนให้มีขนาดเหมาะสมและเอื้อต่อการสนทนาด้วย
2) ภาษาจีน ต้องการให้การเรียนภาษาจีนเป็นระบบวิชาเลือก ไม่ต้องการให้มีการบังคับเรียน ซึ่งก็ต้องจัดวิชาเลือกอื่นให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามความถนัด เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการสนทนา ศิลปะ ฯลฯ เพราะที่ผ่านมาจัดการเรียนการสอนภาษาจีนแบบบังคับเรียน โดยเรียนสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง และไม่มีวิชาสนทนา ส่งผลให้นักเรียนที่เรียนภาษาจีนอยู่ในขณะนี้กว่า 8 แสนคน ไม่สามารถสื่อสาร หรือไปเรียนต่อ หรือประกอบอาชีพล่ามได้ ในขณะที่ประเทศจีนสอนให้คนจีนพูดภาษาไทยจำนวนเพียง 1,000 คน แต่คนจีนเหล่านั้นก็สามารถพูดภาษาไทยได้ เป็นล่ามได้ ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างชัดเจนนี้ เกิดจากการจัดการเรียนการสอนภาษาที่แตกต่างกัน
ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศจะต้องเรียนแบบเข้ม เรียนตามความสมัครใจ มีสื่อการเรียนการสอนที่ดี มีตัวอย่างและระบบที่ดี ซึ่งอาจจะศึกษาจากประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างๆ ทั้งนี้ ศธ.มีกำหนดจัดเสวนาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจากประเทศต่างๆ เพื่อร่วมออกแบบระบบการเรียนการสอนภาษาสำหรับประเทศไทยในเร็วๆ นี้
การคิดวิเคราะห์ ศธ.เตรียมการจัดประชุมสัมมนาและแสดงแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบคิดวิเคราะห์ เพื่อให้ ศธ.มีการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นการเรียนการสอนยุคใหม่ในโลกที่มีข้อมูลมากมายอย่างไม่จำกัด ครูจะสอนอย่างไรให้เด็กคิดเป็นวิเคราะห์เป็น สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และจะสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร เพื่อให้ครูเกิดกระบวนการเรียนรู้ต่อเนื่องต่อไป
● การผลิตครู ศธ.ส่งเสริมให้มีการผลิตครูระบบปิดมากขึ้น คือ กำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะเรียนครู ให้ทุนการศึกษา มีตำแหน่งรองรับ เพื่อให้มีคนดีคนเก่งมาเป็นครู และสามารถผลิตครูในสาขาที่ขาดแคลนได้มากขึ้น เพราะขณะนี้ขาดครูในหลายมิติ ทั้งขาดในสาขาสำคัญและจำนวนที่ขาดในแต่ละสาขาไม่เท่ากัน ขาดครูที่ระบบผลิตไม่สามารถผลิตได้ เช่น วิศวกรรมโยธา สำหรับการเรียนการสอนในระดับอาชีวศึกษา มนุษยศาสตร์ สำหรับการเรียนการสอนในพื้นที่สูงและชายแดนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่สามารถนำผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้วมาเป็นครูได้ เพราะติดหลักเกณฑ์ของคุรุสภา ซึ่งจะต้องมีการหารือกันต่อไป
● เทคโนโลยีด้านการศึกษา ศธ.ได้ดำเนินโครงการแท็บเล็ตเพื่อให้นักเรียนได้มีเทคโนโลยีในการค้นคว้าหาความรู้ แต่การดำเนินงานเพื่อจัดหาและซื้อแท็บเล็ตใช้เวลานานมาก และแม้จะนานก็ยังไม่สามารถจัดหาให้ได้ทันเวลา ทำให้นักเรียนและครูเสียโอกาส เนื่องจากระบบให้ความสำคัญกับการทุจริตมากกว่าความล่าช้าและผลเสียที่เกิดจากความล่าช้านั้น นอกจากนี้ การจัดหาเนื้อหา (Content) ก็ยังไม่มีการพัฒนาหรือส่งเสริมให้มีการผลิตอย่างกว้างขวาง และไม่มีระบบประกันคุณภาพ ทำให้การเรียนการสอนด้วยแท็บเล็ตไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะทุกโรงเรียนก็พยายามหา Content และ Application ที่มีอยู่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ ได้จัดหาแท็บเล็ตและระบบสัญญาณ Wi-Fi ส่งไปถึงนักเรียนอย่างทั่วถึง เพื่อให้การใช้แท็บเล็ตเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้เท่าที่ควร จึงต้องการให้มีแผนแม่บทด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา และมีการพัฒนา Content อย่างจริงจังต่อไป ทั้งนี้ในปี 2558 โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ PISA เน้นประเมินผลนักเรียนด้าน Computer เป็นหลัก ศธ.จึงควรเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป