ประชุมเร่งรัดการยกระดับคุณภาพผู้เรียนสู่การประเมิน PISA
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 73/2557
โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ - นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมเร่งรัดการยกระดับคุณภาพผู้เรียนสู่ความพร้อมในการประเมินระดับนานาชาติ รุ่นที่ 2
ดร.ไพรวัลย์ พิทักษ์สาลี ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวรายงานถึงการจัดประชุมในครั้งนี้ว่า สืบเนื่องจากนโยบายของ ศธ. ที่ได้กำหนดให้มีการพัฒนาและเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมในโลกศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จะต้องพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยมีเป้าหมายภายในปี 2558 ผลการจัดอันดับการศึกษาไทยผลการทดสอบ PISA ของไทย ต้องอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น
สพฐ.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีนักเรียนเข้ารับการประเมินผลทดสอบ PISA กว่าร้อยละ 65 ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้ทัดเทียมนานาชาติ จึงได้เสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อยกระดับผลการทดสอบ PISA ของ ศธ. พร้อมทั้งจัดทำแผนยุทธศาสตร์การยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนและประเมินผลการเรียนของนักเรียน โดยใช้องค์ความรู้จากการเข้าร่วมโครงการ PISA และจัดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าร่วมโครงการ PISA ของประเทศไทยกับผู้บริหารจากหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในทุกภาคส่วนตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว
รมว.ศธ. กล่าวในพิธีเปิดว่า ศธ.ได้กำหนดนโยบายโดยใช้การประเมินระดับนานาชาติ PISA เป็นตัวชี้วัดหลักของนโยบายการศึกษา 8 ข้อ กล่าวคือ การวัดผล PISA ครั้งต่อไปไทยต้องมีอันดับสูงขึ้น และเพื่อให้เข้าใจตรงกันว่าการวัดผลนี้เป็นเรื่องระดับสากล เป็นตัวชี้วัดที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา หรือบางประเทศที่จัดการศึกษาดี แม้ว่าจะเป็นการวัดผลในครั้งแรก แต่ก็มีผลคะแนน PISA ที่สูงมาก ซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการศึกษาที่ดีกับผลสัมฤทธิ์ PISA ในอันดับสูง รวมทั้งจากการที่ประเทศไทยไม่มีการวัดผลกลาง ทำให้จำเป็นต้องวัดโดยวิธีวัดในระดับสากล เพื่อให้ได้รู้สถานะของการจัดการศึกษาไทย ซึ่งผลประเมิน PISA ที่ผ่านมาของไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศ ก็ทำให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของไทยโดยเร็ว
ดังนั้น ศธ.ได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อยกระดับผลการทดสอบ PISA ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกภาคส่วน มีการเตรียมการและจัดทำแผน/แนวทางที่เชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายการยกระดับคุณภาพและสร้างความเข้มแข็งของนักเรียนไทย โดยย้ำว่า การตั้งเป้าหมาย “ยกอันดับ PISA ให้สูงขึ้น” ไม่ใช่เรื่องที่ต้องการให้เกิดความโก้หรือเท่ แต่การจะมีอันดับสูงขึ้นได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาจะต้องดีขึ้นด้วย และแม้ว่าการประเมิน PISA จะวัดเฉพาะผู้เรียนอายุ 15 ปี แต่ผลการประเมินก็พบว่า ในหลายประเทศมีความสัมพันธ์โดยรวมระหว่างผลการประเมิน PISA กับการจัดการศึกษา รวมทั้งการประเมิน PISA เน้นจัดการเรียนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก จึงเป็นที่มาที่ทุกฝ่ายจะต้องมาร่วมคิดโจทย์นี้ร่วมกัน คือ ทำอย่างไรให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์
ทั้งนี้ แนวทางสำคัญที่จะทำให้เกิดการเรียนแบบคิดวิเคราะห์ คือ ทุกคนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการสอบประเมินและข้อสอบประเมิน PISA ทั้งผู้เรียนผู้สอนมีความเข้าใจที่ตรงกันเพื่อปรับแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งในบางประเทศการปรับหลักสูตร เปลี่ยนวิธีเรียนวิธีสอน เพื่อให้เด็กคิดเป็นคือเป้าหมายสูงสุด แต่วิธีการทำให้เด็กคิดเป็นวิเคราะห์เป็นต้องนำข้อสอบและผลสอบมาศึกษาว่า ส่วนใดผู้เรียนทำได้หรือทำไม่ได้ และเป็นผลมาจากการเรียนการสอนหรือหลักสูตรหรือไม่ อย่างไร
ในส่วนของผลการประเมิน PISA ล่าสุดของไทย พบว่าคะแนนทั้ง 3 วิชาดีขึ้น แต่อันดับเท่าเดิม ซึ่งต้องยอมรับว่าภาพรวมยังไม่ดีขึ้นเลย แต่สิ่งที่น่ายินดี คือนักเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาสามารถทำคะแนนได้ดี เพราะ สพฐ. และผู้เกี่ยวข้องได้จัดโครงการดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ ส่งผลให้คะแนนของโรงเรียนขยายโอกาสดีขึ้นด้วย แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการวางแผนและดำเนินการอย่างจริงจังก็จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นได้ รวมทั้งงบประมาณที่จะจัดสรรลงไป นอกจากนี้การแลกเปลี่ยนทั้งภายในประเทศและศึกษาจากนานาประเทศ จะช่วยทำให้อันดับของ PISA สูงขึ้นได้เช่นกัน
ผลการประเมิน PISA ของบางประเทศที่เพิ่งเข้ารับการประเมินครั้งแรก ทั้งประเทศในภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้านก็สามารถทำอันดับได้ดีมาก สำหรับประเทศไทยหากนำผลสอบของเด็กส่วนใหญ่มาพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นคะแนนเฉลี่ย คะแนนอันดับต้น และคะแนนของเด็กส่วนใหญ่ จะแสดงให้เห็นภาพโดยรวมว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายที่จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ขอยกตัวอย่างบางประเทศเน้นพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน บางประเทศเตรียมการอย่างจริงจังก่อนสอบ บางประเทศประกาศเป็นนโยบาย โดยจัดตั้งคณะกรรมการ/องค์กรรับผิดชอบอย่างชัดเจน ซึ่ง ศธ.ก็ดำเนินการประกาศเป็นนโยบาย พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานชัดเจนมากกว่าจะดำเนินการตามธรรมชาติเช่นกัน และเชื่อว่าคำแนะนำจากผู้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ จะเป็นแนวทางสำคัญในการดำเนินงานสู่เป้าหมายและส่งผลให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ดร.ธงชัย ชิวปรีชา ประธานกรรมการคณะกรรมการปฏิบัติการในคณะกรรมการเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อยกระดับผลการทดสอบ PISA กล่าวถึงผลการทดสอบ PISA กับภาพลักษณ์ของประเทศไทย และการนำองค์ความรู้จากการเข้าร่วมโครงการ PISA มาใช้ในการสร้างความพร้อม มีสาระสำคัญดังนี้
@ ผลการทดสอบ PISA กับภาพลักษณ์ของประเทศไทย
ความเป็นมา การประเมินตามโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment : PISA) เป็นโครงการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติที่วัดความรู้และทักษะของนักเรียนอายุ 15 ปี (14 ปี 6 เดือน ถึง 15 ปี 6 เดือน ณ วันที่ 1 มกราคมของทุกปีที่สอบ) ในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยประเมินต่อเนื่องกันทุก 3 ปี ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ PISA มาแล้ว 5 ครั้ง ได้แก่ ปี 2543, 2546, 2549, 2552 และ 2555 ซึ่งผลการประเมินยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ
การประเมินโครงการ PISA ในปี 2558
ผลการทดสอบ PISA ของไทย ที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด มีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศมาก เนื่องจากได้มีการนำผลการทดสอบ PISA ไปใช้เป็นเกณฑ์หนึ่งในการจัดลำดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งเกณฑ์ในการพิจารณาความน่าลงทุนด้วย ซึ่งในสายตานานาชาติมองว่า ไทยเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาต่ำ หรือคุณภาพ/ศักยภาพของคนไทยต่ำเมื่อเทียบกับนานาชาติ
4 สมมติฐานที่เชื่อว่าทำให้ผลการทดสอบ PISA ของไทยตกต่ำ คือ 1) ทักษะความสามารถในการอ่านและการเขียน (ภาษาไทย) อยู่ในระดับต่ำ 2) การเรียนการสอนจริงที่เกิดขึ้นในห้องเรียนไม่สามารถพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน 3) รูปแบบข้อสอบของ PISA แตกต่างจากข้อสอบที่นักเรียนเคยทดสอบ 4) นักเรียน ครู ผู้บริหาร และสังคมส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จัก PISA
การเตรียมตัวของประเทศต่างๆ ซึ่งได้นำเสนอในการประชุมประจำปีของ OECD ด้านการศึกษา เมื่อปี 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น ดังนี้
2) ประเทศอินโดนีเซีย นำ National Examination มาใช้ในการประเมินผลการจบการศึกษาของประเทศ
3) ประเทศจีน (เชียงไฮ้) ซึ่งมีผลประเมิน PISA 2009 และ 2012 ด้านการอ่านอยู่ในระดับสูงสุด ได้กำหนดให้สถานศึกษาจัดการเรียนให้นักเรียนทุกคนมีความสามารถในการอ่านไม่ต่ำกว่าระดับ 2 ของ PISA และให้นโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของมณฑลและเมือง
@ แนวทางปฏิบัติของประเทศไทย ในการนำองค์ความรู้จากการเข้าร่วมโครงการ PISA มาใช้ในการสร้างความพร้อม
แนวปฏิบัติที่ 1 ให้ทุกโรงเรียนแทรกกิจกรรมด้านการอ่านและการคิดวิเคราะห์ตามแนวทาง PISA ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือรายวิชาที่เหมาะสมโดยใช้บทอ่านและแบบฝึกที่ได้รับจาก สพฐ./สสวท. ในระดับชั้น ป.4 - ม.3 ตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 เป็นต้นไป
1) ด้านการอ่าน มีผลประเมินในอันดับที่ 39 จาก 65 ประเทศ มีคะแนนเฉลี่ย 470 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 ร้อยละ 25 และนักเรียนที่ได้คะแนนระดับ 5 ขึ้นไป ร้อยละ 2.0
2) ด้านคณิตศาสตร์ มีผลประเมินในอันดับที่ 40 จาก 65 ประเทศ มีคะแนนเฉลี่ย 460 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 ร้อยละ 35 และนักเรียนที่ได้คะแนนระดับ 5 ขึ้นไป ร้อยละ 5.0
3) ด้านวิทยาศาสตร์ มีผลประเมินในอันดับที่ 38 จาก 65 ประเทศ มีคะแนนเฉลี่ย 470 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 ร้อยละ 25 และนักเรียนที่ได้คะแนนระดับ 5 ขึ้นไป ร้อยละ 2.0
เป้าหมายความสำเร็จในปี 2561
1) ด้านการอ่าน มีผลประเมินในอันดับที่ 25 จาก 65 ประเทศ มีคะแนนเฉลี่ย 500 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 ร้อยละ 10 และนักเรียนที่ได้คะแนนระดับ 5 ขึ้นไป ร้อยละ 5.0
2) ด้านคณิตศาสตร์ มีผลประเมินในอันดับที่ 35 จาก 65 ประเทศ มีคะแนนเฉลี่ย 500 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 ร้อยละ 20 และนักเรียนที่ได้คะแนนระดับ 5 ขึ้นไป ร้อยละ 8.0
3) ด้านวิทยาศาสตร์ มีผลประเมินในอันดับที่ 38 จาก 65 ประเทศ มีคะแนนเฉลี่ย 470 คะแนน นักเรียนที่ได้คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 ร้อยละ 25 และนักเรียนที่ได้คะแนนระดับ 5 ขึ้นไป ร้อยละ 2.0
ทั้งนี้ คะแนนต่ำกว่าระดับ 2 หมายความว่า มีศักยภาพด้านนั้นต่ำจนไม่สามารถใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสมและเท่านั้น ส่วนคะแนนระดับ 5 และ 6 หมายความว่า มีศักยภาพด้านนั้นสูงเยี่ยม
การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมโครงการ PISA ปี 2558 และปี 2561
ผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับการเตรียมความพร้อม ได้แก่ นักเรียน ครู ศึกษานิเทศก์ นักวิชาการ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา โดยมีมาตรการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2557 ใน 6 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 สร้างความตระหนักและสร้างทีม PISA ระดับเขตพื้นที่และหน่วยงานอื่น
มาตรการที่ 2 สร้างและจัดหาข้อสอบแนว PISA จัดทำคลังข้อสอบและสร้างระบบสอบออนไลน์ สำหรับให้เขตพื้นที่และโรงเรียนทุกสังกัดใช้
มาตรการที่ 3 สร้างบทอ่านและสร้างแบบฝึก เพื่อใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศักยภาพการอ่าน การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาของนักเรียนทุกสังกัด
มาตรการที่ 4 พัฒนาแบบทดสอบวัดระดับความสามารถในการอ่านและเขียนภาษาไทย ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
มาตรการที่ 5 ส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนกลุ่มที่มีผลการสอบ PISA ปี 2555 ต่ำ
มาตรการที่ 6 สร้างความเข้มแข็งของระบบกำกับ ติดตาม และประเมินผล
นอกจากนี้ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา ได้เสนอแนะสิ่งที่ควรดำเนินการเพิ่มเติม เช่น
- แต่ละเขตพื้นที่ควรมีทีมสร้างข้อสอบแนว PISA อย่างน้อย 9 คน (การอ่าน 3 คน คณิตศาสตร์ 3 คน วิทยาศาสตร์ 3 คน) ภายในปีงบประมาณ 2558
- แต่ละโรงเรียนควรมีครูที่ได้รับการฝึกให้เป็นผู้ชำนาญการด้านสร้างข้อสอบ/เครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ประจำโรงเรียน 2-3 คนต่อโรงเรียน ที่สามารถให้คำแนะนำและนิเทศครูในโรงเรียนได้ ภายในปีการศึกษา 2560
- การศึกษาวิเคราะห์ข้อสอบที่โรงเรียนใช้ว่า มีความเหมาะสม มีความตรง มีความเชื่อถือได้เพียงใด และจะต้องพัฒนาอย่างไร ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อจับผิด แต่เพื่อพัฒนาและปรับปรุงแก้ไข
- การศึกษาวิธีการวัดและประเมินผลเพื่อเลื่อนชั้นและจบช่วงชั้นของนานาประเทศ เช่น จาก ป.1 ขึ้น ป.2, จาก ม.2 ขึ้น ม.3, จบ ป.6, จบ ม.3 และสำหรับประเทศไทยควรจะทำอย่างไร ถึงเวลาที่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง
- ควรได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งนักเรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง และประชาชน ในการจัดกิจกรรมทั้งหมด และทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ เห็นคุณค่า ความจำเป็นของการเข้าร่วมโครงการ PISA ตลอดจนมีความเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ เชื่อว่าทำได้ เราก็ผิวเหลือง ผมดำ เหมือนคนอื่น และการจัดกิจกรรมจะต้องดำเนินการต่อเนื่องตลอดไป
ที่สำคัญคือ ต้องเริ่มตั้งแต่ "เมื่อวานนี้"