สล็อตเว็บตรง
สล็อตออนไลน์
สล็อตอันดับ1ของโลก รมว.ศธ.ตอบกระทู้ถามในการประชุม สนช. "นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทย"

รมว.ศธ.ตอบกระทู้ถามในการประชุม สนช. "นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทย"

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 55/2559
 รมว.ศธ.ตอบกระทู้ถามในการประชุม สนช.
"
นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทย"


 รัฐสภา - พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตอบกระทู้ถามของนายโกศล เพ็ชร์สุวรรณ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันอังคารที่ 22 มกราคม 2559 เรื่อง “นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทย”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ถามที่ให้ความห่วงใยในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของไทย ถึงแม้ว่าในระยะนี้รัฐบาลมีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจ แต่นายกรัฐมนตรีก็ให้ความสำคัญกับการศึกษา มีการกล่าวถึงการศึกษาทุกครั้ง และทุกสัปดาห์ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมีวาระของกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่ ก่อนเลิกประชุม จะมีการกล่าวถึงการศึกษาทุกครั้ง

 สำหรับการตอบคำถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการขอตอบในภาพรวมเพื่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มองเห็นภาพรวม และบริบทของการศึกษาไทยว่าจะมีรูปแบบอย่างไร

 ประเด็นปัญหาของการศึกษาไทย มี 6 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.หลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ 2.การผลิตและพัฒนาครู 3.การประเมินและการพัฒนามาตรฐานการศึกษา 4.การผลิต พัฒนากำลังคนและงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาประเทศ 5.ICT เพื่อการศึกษา และ 6.การบริหารจัดการ แยกออกได้ 31 ปัญหาย่อย ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขและเป็นปัญหาในปัจจุบันนี้

 การวิเคราะห์ปัญหาก่อนที่จะดำเนินการ จะต้องมีการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยนายกรัฐมนตรีให้แนวทางไว้ว่า การแก้ไขปัญหาทุกปัญหาจะต้องไม่สร้างให้เกิดปัญหาใหม่ เพราะฉะนั้นการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงต้องมีการวาดภาพการเชื่อมโยงของปัญหา เพื่อให้มองเห็นภาพผลกระทบทั้งหมด แล้วแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กัน ตามความจำเป็นเร่งด่วน และข้อมูลที่ได้มาทั้งหมด มาจากข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่ จากเสียงสะท้อนของสื่อสารมวลชน จากข้อคิดเห็นของนักวิชาการ โดยมีประเด็นที่นำมาวิเคราะห์ ดังนี้

 • ปัญหาความรู้ภาษาอังกฤษ จากการสำรวจ 63 ประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ในอันดับที่ 48 ของโลก และอันดับ 5 ของอาเซียน อันดับ 1 ประเทศสิงคโปร์ อันดับ 2 ประเทศฟิลิปปินส์ อันดับ 3 ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม และอันดับ 4 ประเทศมาเลเซีย

 • การจัดอันดับชั่วโมงเรียนที่นักเรียนนั่งเรียนในห้องเรียน  พบว่าเด็กไทยใช้เวลาเรียนหนังสือในห้องเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นอันดับ 2 ของโลก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นอันดับ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นอันดับ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นอันดับ 5 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นอันดับ 8

 • ผลการทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 4 เทียบเท่ากับนักเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศกลุ่มยุโรปของ PISA พบว่าเด็กไทยต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีนักเรียนในกลุ่มโรงเรียนสาธิต และโรงเรียนจุฬาภรณ์ 12 แห่ง จะสูงกว่ามาตรฐาน จุดอ่อนของนักเรียนไทยคือคิดวิเคราะห์ไม่เป็น วิธีการสอนแบบให้จำ ให้เข้าใจ แต่ข้อสอบของ PISA เป็นการสอบแบบคิดวิเคราะห์

 • จำนวนครูที่ไม่ครบชั้น ทั้งประเทศมีจำนวน 26,607 คน คิดเป็น 22 % การไม่ครบชั้นมีหลายสาเหตุ 1) โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่ถึง 120 คน มีจำนวน 10,000 โรงเรียน นักเรียนไม่ถึง 20 คน มีจำนวนกว่า 1,000 โรงเรียน และมีบางโรงเรียนที่ไม่ถึง 20 คน แต่ทำการเรียนการสอนครบทุกชั้น เช่น ป.1 มี 2 คน ป. 2 มี 3 คน ทำให้ไม่สามารถจัดครูครบชั้นได้ บางโรงเรียนครูคนเดียวต้องสอนครบทุกชั้น กระทรวงศึกษาธิการ แก้ไขปัญหาโดยจัดกลุ่มโรงเรียน หรือใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ช่วยในการจัดการเรียนการสอน

 • จำนวนโรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมิน ซึ่งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ทำการประเมิน พบว่าไม่ผ่านการประเมินประมาณ 7,000 แห่ง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้หารือกับ สมศ.เกี่ยวกับแบบประเมินว่าอาจจะต้องจำแนกแบบประเมินว่าแต่ละกลุ่มจะประเมินอย่างไร เพื่อให้โรงเรียนเหล่านั้นมีกำลังใจในการพัฒนา อาจจะแบ่งเป็น Division 1 Division 2 และ Division 3 เพื่อให้มีการไต่ระดับการพัฒนาของโรงเรียน

 • การจัดอันดับของ World Economic Forum เปรียบเทียบ 3 ปี พบว่าปี 2012 และ 2013 ประเทศไทยอยู่ในอัน 8 ต่ำกว่ากัมพูชา ปี 2014 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 และประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว อยู่ในอันดับ 5 การประเมินดังกล่าวเป็นการประเมินด้านเศรษฐกิจ วิธีการสำรวจจะดำเนินการโดยสอบถามผู้ประกอบการว่าพอใจหรือไม่กับบัณฑิตที่เรียนจบมา ตรงกับความต้องการหรือไม่ ซึ่งแต่ละประเทศมี Scale เศรษฐกิจไม่เหมือนกัน เช่น ประเทศลาวมี Scale เศรษฐกิจแคบมากก็พอใจที่บัณฑิตจบมาแล้วตรงกับความต้องการ แต่เมื่อเปรียบเทียบประเทศไทยแล้ว Scale ใหญ่กว่ามาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นความต้องการของผู้ประกอบการเอกชนมีความต้องการสูงกว่าหลายประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่อันดับล่าง แต่การประเมินดังกล่าวสามารถสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศไทยผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับความต้องการ ซึ่งมีบัณฑิตตกงานอยู่ประมาณ 23 %

 • ครูบางส่วนใช้เวลากับกิจกรรมนอกชั้นเรียนที่ไม่ใช่การสอน 84 วัน ใน 200 วันที่เปิดเรียน แต่หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารจัดการ เริ่มตั้งแต่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) มีการปรับให้ครูกลับสู่ห้องเรียนให้มากที่สุด  2 ปีที่ผ่านมาลดไปแล้ว 19 วัน เหลือ 65 วัน ซึ่งใน 84 วันที่ครูอยู่นอกชั้นเรียน เป็นภารกิจเกี่ยวข้องกับการประเมิน 43 วัน (ประเมินโรงเรียน ประเมินครู ประเมินนักเรียน) และส่วนที่เหลือเป็นกิจกรรมนอกสถานศึกษา เช่น เป็นงานพิธี เป็นกรรมการต่าง ๆ

 • หนี้สินครู  กระทรวงศึกษาธิการมีแหล่งเงินกู้จากส่วนราชการ 4 แห่งและหนี้นอกระบบ 1 แห่ง ปัจจุบันครูและบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ มีทั้งหมดกว่า 880,000 คน (เป็นครูประมาณ 400,000 คน) แต่เป็นหนี้ 1,300,770 บัญชี หมายความว่า 1 คน เป็นหนี้มากกว่า 1 บัญชี ปล่อยให้กู้ง่าย วงเงินกู้หลายล้านบาท ผู้ค้ำประกัน 5 คนบ้าง 1 คนบ้าง ทำให้ครูเป็นหนี้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก

 • การผลิตแบบเรียน ในแต่ละวิชามีการผลิตสื่อแบบเรียนหลายสำนักพิมพ์ ซึ่งครูจะสามารถเลือกใช้สำนักพิมพ์ใดก็ได้ และส่งผลต่อการออกข้อสอบของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทศ.) เพราะ สทศ.จะต้องนำสื่อของแต่ละวิชา ของทุกสำนักพิมพ์มาออกข้อสอบ ในขณะที่ครูแต่ละโรงเรียนเลือกใช้บางสำนักพิมพ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเคยมีแนวคิดจะให้ใช้แบบเรียนเฉพาะของกรมวิชาการ แต่มีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องจากสำนักพิมพ์เอกชน เนื่องจากผิดรัฐธรรมนูญ จึงต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ โดยวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อปรับปรุง สิ่งไหนที่นักเรียนต้องรู้ และสิ่งไหนที่นักเรียนควรรู้ ทุกสำนักพิมพ์และครูจะต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งที่นักเรียนต้องรู้จะต้องมีในแบบเรียน

 • นโยบายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการแก้ไขปัญหา จะต้องมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อความสุขของคนไทย ก่อนที่จะทำความสุขให้คนไทย กระทรวงศึกษาธิการจะต้องดูแลแก้ไขปัญหาให้คนเหล่านี้ก่อน คือ นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 10,434,148 คน นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช. , ปวส.) จำนวน 977,649 คน นักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 1,994,922 คน และครู อาจารย์ จำนวน 624,758 คน

 • แผนระยะยาว หรือกรอบแนวคิดการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ตามกรอบนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่มีดำริว่า กระทรวงศึกษาธิการจะต้องผลิต New Generation ที่เก่ง ดี (มีคุณธรรม จริยธรรม) และมีวินัย ภายใน 20 ปี วิธีการดำเนินงานจะต้องมีอย่างน้อย 4 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข โดยกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นหลักในการดำเนินการ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปและขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษาให้ชัดเจน เพื่อให้คนในกระทรวงศึกษาธิการเข้าใจว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร

 จากปัญหาดังที่ได้กล่าว แบ่งได้ 6 กลุ่มปัญหา และ 31 ปัญหาย่อย กระทรวงศึกษาธิการ นำมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์เร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ 6 เรื่อง ดังนี้

 1) หลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ เพื่อลดภาระเด็กเครียด เด็กเรียนเยอะ เด็กไม่มีความสุขกับการเรียน/ผลสัมฤทธิ์ต่ำ เนื้อหาไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลง และกระบวนการเรียนรู้

 2) การผลิตและพัฒนาครู เพื่อเพิ่มครูเก่ง (ครูบางส่วนไม่เก่ง) จัดครูให้ครบชั้น (ครูไม่ครบชั้น สอนไม่ตรงเอก) ภาระงานเยอะ และครูขาดขวัญกำลังใจ

 3) การประเมินและการพัฒนามาตรฐานการศึกษา โดยปรับปรุงการประเมินครู ประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และการประเมินสถานศึกษา

 4) การผลิตพัฒนากำลังคนและงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาประเทศ เพื่อแก้ปัญหาขาดกำลังแรงงานสายวิชาชีพ มาตรฐานฝีมือยังไม่เป็นที่ยอมรับจากสถานประกอบการ การผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของประเทศทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และงานวิจัยไม่สามารถนำไปใช้งานได้จริง อนึ่ง เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 ได้มีการประชุมคณะกรรมการสานพลังประชารัฐ ซึ่งหน่วยงานเอกชนเข้าร่วม 31 บริษัท เพื่อร่วมมือกันผลิตผู้เรียนอาชีวศึกษาให้ตรงกับความต้องการ

 5) ICT เพื่อการศึกษา ได้เตรียมการเพื่อพัฒนาและบูรณาการโครงสร้างพื้นฐาน ระบบฐานข้อมูล และระบบการจัดการเนื้อหาสาระ/องค์ความรู้ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการมีไม่เพียงพอ โรงเรียนเกือบ 8,000 แห่ง ยังเข้าไม่ถึง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้รับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2560 ระบบฐานข้อมูลไม่ทันสมัย ขาดการบูรณาการ มีการทับซ้อนทั้งระบบและเนื้อหา กระทรวงศึกษาธิการหวังว่าคงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

 6) การบริหารจัดการ เพื่อแก้ปัญหาระบบงบประมาณที่ไม่สอดคล้องต่อการดำเนินงาน การกำกับดูแลขาดประสิทธิภาพ ขาดการบูรณาการ การกระจายอำนาจ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนการกำกับดูแลระบบที่เป็นอยู่ขององค์กรหลักทั้ง 5 แห่ง ยังไปไม่ถึงส่วนภูมิภาค

 วิธีการคิด โดยการยึดหลักอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โดยนำปัญหามาสู่การเรียนรู้ นำปัญหามาเป็นตัวตั้ง แล้วหาสาเหตุ นำไปสู่แนวทางแก้ไขปัญหา ทำวิธีการเดียวกันทั้ง 6 ปัญหาหลัก ซึ่งในการปฏิบัติได้ดำเนินการเสร็จแล้วบางส่วน มี Outcome แล้ว มี 3 ระยะ คือ โครงการที่มี Outcome แล้ว หรือดำเนินการแล้วและมีผลสัมฤทธิ์แล้ว โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และโครงการที่กำลังผลักดันให้เกิดขึ้น ซึ่งบุคลากรทั้งหมดในกระทรวงศึกษาธิการจะต้องรู้ และเข้าใจแผนนี้ เพื่อให้รู้หน้าที่ของตนเองว่าจะต้องทำอะไร โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคอยกำกับติดตาม

 แนวทางแก้ไขปัญหาทั้งหมดมี 65 โครงการ แก้ไขแล้วและมีผลสัมฤทธิ์แล้วบางส่วน จำนวน 16 โครงการ โครงการที่เริ่มต้นทำแล้วหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 37 โครงการ และโครงการที่ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นอีก จำนวน 12 โครงการ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จกลางปี 2560

 • การแก้ไขปัญหาเฉพาะครู มี 3 โครงการ ได้แก่

 1) คืนครูให้ห้องเรียน คืนครูผู้ทรงคุณค่าแห่งแผ่นดิน สรรหาครูเกษียณอายุราชการและมีจิตอาสาเข้าร่วมโครงการเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน เริ่มดำเนินการปี 2559 จำนวน 1,097 คน และปี 2560 จำนวน 10,000 คน

 2) ลดภาระครู เป็นการปรับลดภาระการประเมิน การตอบแบบสำรวจ การรายงานข้อมูล การเข้ารับการอบรม การขอความร่วมมืองดกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการสอน

 3) การสร้างขวัญและกำลังใจให้ครู

 - ปรับปรุงบ้านพักครูให้ครบทุกแห่งภายในปี 2561 บ้านพักครูทั้งประเทศมีจำนวน 40,000 หลัง ไม่ได้รับงบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคาดว่าภายใน 2 ปี จะต้องดำเนินการซ่อมแซมบ้านพักครูทั้งหมดให้แล้วเสร็จ ซึ่งบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการประจำปีเรียบร้อยแล้ว และในปี 2559 ปรับแผนงบประมาณ ได้ 1,000 หลัง

 - การโยกย้ายครู เป็นการปรับกฎ ระเบียบ เนื่องจากการเข้าสู่ตำแหน่งของผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ และมีเสียงลือว่าการโยกย้ายจะต้องมีการจ่ายเงินโดยคิดเงินตามระยะทางเป็นกิโลเมตร

 - การแก้ปัญหาหนี้สินครู จะต้องดำเนินการ 2 ส่วน คือ 1) ต้องหารือกับผู้ปล่อยกู้ เพราะเงื่อนไขในการปล่อยกู้ง่ายเกินไป พบช่องโหว่เยอะมาก โดยเฉพาะธนาคารออมสิน สหกรณ์ออมทรัพย์ครู 2) การแก้ปัญหาระยะยาว จะต้องสร้างความรับผิดชอบ โดยให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อำนวยการโรงเรียนร่วมรับผิดชอบในการอนุมัติและรับผิดชอบการกู้ (อาจจะกำหนดวงเงินกู้แต่ละระดับที่รับผิดชอบ) ปัญหาครูที่ค้างชำระหนี้ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ขั้นวิกฤต จำนวน 1,721 ราย กลุ่มที่ 2 ใกล้วิกฤต จำนวน 1,972 ราย กลุ่มที่ 3 ค้างชำระไม่เกิน 12 งวด จำนวน 18,344 ราย และกลุ่มที่ 4 ลูกหนี้ปกติ จำนวน 29,333 ราย

 • โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (คุรุทายาท) หลักการ คือ การคัดเด็กเรียนเก่งเกรดเฉลี่ยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไม่ต่ำกว่า 3.00 สมัครเรียนครู โดยมีที่เรียนให้ และมีตำแหน่งรองรับ ไม่ต้องสอบบรรจุแต่อย่างใด และหลักเกณฑ์ คือ ต้องกลับไปบรรจุในภูมิลำเนาของตนเอง ปีละ 4,000 คน โดยจัดสรรจากตำแหน่งของครูเกษียณอายุราชการ 25 % และอีก 75 % เปิดให้สอบแข่งขัน เพราะฉะนั้นกระทรวงศึกษาธิการจะได้ครูที่มีจิตใจในความเป็นครูตั้งแต่ศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

 • การแก้ปัญหาร่วมกับภาคเอกชน โดยคณะทำงานร่วมภาครัฐ-เอกชน-ประชาชน เดิมเป็นการดำเนินการแบบ CSR คือการเอาเป้าหมายของบริษัทเป็นหลักในการให้ความช่วยเหลือ แต่แบบใหม่จะต้องเป็น Social Enterprise ต้องเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งโชคดีมากที่หลายบริษัทให้ความร่วมมือ มีการ Quick Win ร่วมกันและแบ่งกันชัดเจนทั้งของรัฐและเอกชน กระทรวงศึกษาธิการรับทำข้อตกลง กับ 2 คณะ คือ 1) คณะทำงานด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ โดยคุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส บริษัทปูนซีเมนต์ไทยฯ ลงนาม MOU เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 Quick Win สร้างแรงจูงใจให้ครูสายวิชาชีพ โดยมี Career Path ในการเติบโต พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี Excellence Model School ขยายผลโครงการทวิภาคี Database of Demand & Supply รองรับการขยายตัวธุรกิจ เน้น 10 กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ Re-branding สร้างแรงจูงใจให้เห็นความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ  2) คณะทำงานด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ โดยคุณศุภชัย เจียรวนนท์ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จะลงนาม MOU ในเร็วๆ นี้ โดย Quick Win เป้าหมายจะเริ่มดำเนินการ 7,424 โรงเรียนใน 7,424 ตำบล อาจจะแบ่งเป็นเฟส ๆ ละ 2,000 ตำบล จะต้องสำรวจความต้องการของโรงเรียนก่อนดำเนินการ อาจจะเปิดสอนคอร์สภาวะผู้นำให้กับผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเอกชนมีความชำนาญ

 นายกรัฐมนตรี มีดำริว่าให้ทุกโครงการของทุกกระทรวงระบุระยะเวลาการดำเนินงานให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน จบเมื่อไร ดำเนินการอะไร ปี 2560 จะแล้วเสร็จแค่ไหน และจะส่งต่อให้รัฐบาลใหม่อย่างไร กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการโดยเรียกว่า ตาราง 3 ช่อง ซึ่งองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องจัดทำ Mind map แบบอริยสัจ 4 และตาราง 3 ช่องทุกโครงการ ให้มีการปรับแผน การปฏิบัติได้ในช่วงเวลา 3 เดือน แต่ต้องมีเหตุผลในการปรับ อาจจะมีการมองว่าอยู่ในกระดาษ แต่องคาพยพทั้งหมดผู้ปฏิบัติจะเข้าใจ และรู้ว่าจะถูกติดตามอย่างไร คนที่เป็นผู้กำกับหน่วยหรือผู้บังคับบัญชาใช้กำกับได้ จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ

 ในส่วนการทดสอบแบบอัตนัย จะเริ่มใช้กับเด็กประถมศึกษาก่อน ประมาณ 20% อันดับแรกเป็นวิชาภาษาไทย แล้วค่อยๆ พัฒนาต่อไปทีละก้าว ภาษาอังกฤษจะเริ่มปีนี้ และใช้กับมหาวิทยาลัยเพื่อให้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่จะต้องหารูปแบบที่เหมาะสม จากข้อสังเกตของผู้ตั้งกระทู้ถาม ให้ออกข้อสอบเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นแบบอัตนัยนั้น ขณะนี้กฎหมายไม่เอื้อให้รัฐมนตรีสั่งการมหาวิทยาลัยได้ แต่ก็มีการพูดคุยหารือไปบ้างแล้ว